ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย

ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย ในสมัยโบราณเราถือว่าวันแรกของเดือนจันทรคติเป็นวันขึ้นปีใหม่ ความต้องการของพระพุทธศาสนาทำให้ฤดูหนาวเป็นจุดเริ่มต้นของปีโบราณ วันขึ้นปีใหม่ยึดตามคติพราหมณ์ โดยใช้วันที่หนึ่งของเดือนที่ 5 ตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันขึ้นปีใหม่ และจนถึงปี พ.ศ. 2432 รัชกาลที่ 5 ได้เปลี่ยนเป็น 1 เมษายน เนื่องจากรัฐบาลใช้ระบบสุริยะ แต่ยังคงตามคติของพราหมณ์เพราะว่าเดือนห้าก็เหมือนกับเดือนเมษายนเสมอ ต่อมารัฐบาลประกาศเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากพระราชกฤษฎีกาตราพระราชบัญญัติปฏิทิน พ.ศ. 2483 และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2483 รัฐบาลจึงประกาศให้วันที่ 1 มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ ดังนั้นในปี พ.ศ. 2483 จึงมีเวลาเพียงเท่านั้น เพียง 9 เดือนเท่านั้น เฉพาะเดือนเมษายน-ธันวาคม 

ประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทย

ตามปฏิทินสากลที่ประกาศใช้ในวันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2483 โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น เป็นผู้ได้รับมอบหมาย พระราชกฤษฎีกาใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทำให้เป็นวันขึ้นปีใหม่สากลในประเทศที่พัฒนาแล้วหลายแห่งทั่วโลก แต่ไม่สำคัญเท่ากับเราได้ฟื้นฟูวัฒนธรรม อุดมการณ์ และขนบธรรมเนียมไทยโบราณ ซึ่งเราได้ละทิ้งอิทธิพลของพราหมณ์อีกครั้งหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวงสำหรับประเทศไทย ทั้งที่เกี่ยวข้องกับประเทศของเราและเกี่ยวข้องกับประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหมด 

ดังนั้นประเทศไทยจึงถือว่าวันที่ 1 มกราคมของทุกปีเป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยจนถึงวันนี้ แม้ว่าวันที่ 1 มกราคมจะถือเป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการก็ตาม แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังคงถือว่าสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยเช่นกัน ในช่วงปีใหม่ไทยจะมีงานรื่นเริงและความบันเทิงมากมายตั้งแต่คืนวันที่ 31 ธันวาคมถึง 1 มกราคมจะมีการนับถอยหลัง เพื่อก้าวเข้าสู่วันใหม่ด้วยการแลกเปลี่ยนการ์ดอวยพรและของขวัญ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถบพิตร ประทานพรปีใหม่แด่พระสังฆราช พรปีใหม่ แก่พุทธศาสนิกชนและบุคคลสำคัญในเช้าเดือนมกราคม ประชาชนจะร่วมทำบุญ ถวายอาหารพระ ปล่อยนก ปล่อยปลา เยี่ยมผู้สูงอายุ รับพรและอวยพรซึ่งกันและกันด้วยความสุขความเจริญ 

จัดกิจกรรมการกุศลตามสถานที่ต่างๆ พร้อมกันหลายบริษัทจะใช้โอกาสนี้ในการมอบโบนัสและประกาศส่งเสริมพนักงาน จะเห็นได้ว่าคนไทยฉลองวันขึ้นปีใหม่ปีละ 3 ครั้ง ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามประเพณีหรือวันสงกรานต์ในวันที่ 1 มกราคม และวันตรุษจีน เพราะผู้คนจากทุกสาขาอาชีพมารวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ในขณะที่วันตรุษจีนก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะคนไทยเชื้อสายจีน ถึงแม้จะไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ บริษัทเอกชนส่วนใหญ่จะหยุดทำธุรกิจหลายวัน เพื่อให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้างได้ร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสอันเป็นมงคลนี้กับญาติๆ ที่บ้าน หรือใช้วันหยุดในสถานที่โปรด

วันขึ้นปีใหม่

สำหรับประเพณีวันขึ้นปีใหม่ของไทยนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณโดยถือเอาวันแรม ๑ ค่ำ เดือนอ้ายเป็นวันขึ้นปีใหม่ถือเหมันตฤดูเป็นการเริ่มต้นปี สมัยโบราณวันขึ้นปีใหม่ ถือคติพราหมณ์ ใช้วันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ เป็นวันขึ้นปีใหม่ และเป็นเช่นนั้นตลอดมา จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๓๒ แห่งรัชกาลที่ ๕ จึงเปลี่ยนมาเป็นวันที่ ๑ เมษายน ทั้งนี้เนื่องจากทางราชการนิยมใช้หลักสุริยคติ แต่ยังคล้องตามคติพราหมณ์อยู่นั่นเอง เพราะเดือน ๕ ก็ตรงกับเดือนเมษายนเรื่อยมา

ต่อมาทางราชการประกาศเปลี่ยนแปลงวันขึ้นปีใหม่ เนื่องจากมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติปฏิทิน พ.ศ.๒๔๘๓ และเริ่มใช้เมื่อ ๑๗ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓ รัฐบาลจึงประกาศใช้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ดังนั้น ในปี พ.ศ.๒๔๘๓ จึงมีเพียง ๙ เดือนเท่านั้น คือเดือนเมษายน ถึงเดือนธันวาคม เพื่อให้สอดคล้องกับปฏิทินสากล ประกาศใช้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการ ณ วันที่ ๒๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๘๓ โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม

นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้นเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการ การใช้วันที่ ๑ มกราคม เป็นวันขึ้นปีใหม่ ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้ในนานาประเทศที่เจริญแล้วทั่วโลก แต่ก็ไม่สำคัญเท่าที่เราได้ฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีไทยแต่โบราณกาล ซึ่งเราได้ละทิ้งเสียโดยอิทธิพลของพราหมณ์กลับมาใช้ใหม่การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ย่อมเป็นเกียรติแก่ประเทศไทย ทั้งในส่วนเกี่ยวข้องกับชาติของเราเอง และทางสัมพันธ์กับชาติที่เจริญแล้วทั้งหลาย

ไทยจึงถือวันที่ ๑ มกราคม ของทุกปี เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยจวบจนทุกวันนี้แม้ว่าวันที่ ๑ มกราคม จะถือปฏิบัติเป็นวันขึ้นปีใหม่อย่างเป็นทางการแล้วก็ตามแต่คนไทยส่วนใหญ่ก็ยังคงถือวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทยด้วยเช่นกัน ในช่วงเทศกาลปีใหม่ประชาชนชาวไทยจะมีงานรื่นเริง และมหรสพ เพื่อเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ตั้งแต่คืนวันที่ ๓๑ ธันวาคม จนถึงวันที่ ๑ มกราคม ซึ่งทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจะมีการมีการจัดกิจกรรมร่วมนับถอยหลัง เพื่อก้าวสู่วันใหม่ มีการแลกบัตรอวยพรและของขวัญเพื่อเชื่อมความสมัครสมานสามัคคี โดยกิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติกันในวันขึ้นปีใหม่ ได้แก่

มีอะไรบ้างมาฟังกันเลย

๑.การทำบุญตักบาตร ซึ่งอาจจะทำที่บุญตักบาตรบ้านหรือไปที่วัด หรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางรัฐบาลจัดขึ้น เช่น มณฑลพิธีท้องสนามหลวง

๒. ถือศีล ปฏิบัติธรรม หรือฟังธรรมเทศนา ปล่อยนก ปล่อยปลา เพื่อให้จิตใจสดชื่นแจ่มใสเบิกบาน

๓. กราบขอพรผู้ใหญ่และอวยพรเพื่อนฝูง ในอดีตอาจเขียนการ์ดอวยพรปีใหม่ ส่งทางไปรษณีย์ แต่ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนไป ก็สามารถอวยพรกันผ่านทางไลน์ ทางเฟส หรือโทรศัพท์แทนเพราะสะดวกและมีค่าใช่จ่ายน้อย

๔.ทำความสะอาดบ้านและที่พักอาศัย

๕.การจัดงานรื่นเริง ในหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน หรือภายในครอบครัว เพื่อส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสอันดีในการที่เราจะได้ทบทวนตัวเอง เรื่องการดำเนินชีวิตในปีที่ผ่านมาว่ามีอะไรที่เรายังไม่ได้ทำหรือทำแต่ขาดตกบกพร่องไป เราจะได้นำประสบการณ์เหล่านั้นมาปรับปรุงให้ดีขึ้นในปีใหม่สำหรับปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงในอีกไม่กี่วันนี้ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย โปรดดลบันดาลให้แฟนเพจกรมส่งเสริมวัฒนธรรมทุกท่าน จงประสบแต่ความสุข ความสำเร็จ ความอุดมสมบูรณ์ ในสิ่งอันพึงปรารถนาทุกประการ โชคดีปีใหม่ ๒๕๖๔

บทความแนะนำ

ประวัติสงกรานต์ และประเพณีสงกรานต์

ประวัติและความเชื่อ ‘วันลอยกระทง’ ประเพณีไทย